Kursk คูร์ส หนีตายโคตรนรกรัสเซีย 23 ลูกเรือถูกขังใต้ทะเล 5 วัน ไร้การช่วยเหลือจะเป็นอย่างไร?
Kursk คูร์ส หนีตายโคตรนรกรัสเซีย Kursk เรื่องจริง สิงหาคม ปี 2000 เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ คูร์ส เข้าร่วมปฏิบัติการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุด ของกองทัพเรือรัสเซียที่ ทะเลบาห์เรนในมหาสมุทรอาร์กติก แต่ระหว่างฝึกซ้อม กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อตอร์ปิโดที่อยู่ในเรือเกิดระเบิดขึ้น เรือดำน้ำคูร์ส จมลงสู่ก้นทะเลในทันที
และลูกเรือเกือบ 100 ชีวิตตายทันที เหลือเพียงลูกเหลือ 23 นาย ที่เสมือนถูกขังทั้งเป็น ในเรือมรณะลำนี้ ไร้ทุกการช่วยเหลือ เพราะรัฐบาลรัสเซียปฏิเสธข้อเสนอจากกองทัพนานาชาติ เนื่องจากกลัวความลับของกองทัพรั่วไหล 140 กิโลเมตรใต้มหาสมุทร 23 ลูกเรือเอาชีวิตรอด 5 วันวิปโยค 1 ความหวัง 0 การช่วยเหลือ รีวิวซีรีส์
Kursk 2018 หนังดำเนินเริ่มเรื่องมาที่ครอบครัวหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นครอบครัวที่ดูอบอุ่นดีมีพ่อแม่ลูกและลูกอีกคนที่อยู่ในท้อง มิคาเอล เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี และก็ยังเป็นทหารเรือประจำการอยู่ที่เรือดำน้ำคูร์ส ของรัสเซียครอบครัวของมิคาเอล ไปพักอาศัยอยู่ใกล้กับท่าเรือ และคนส่วนมากที่พักอาศัยกันอยู่ที่นี่ก็จะเป็นครอบครัวของเหล่าทหารเรือทั้งนั้น
ตัดภาพมาที่ พาเวล เพื่อนของมิคาเอล พาเวลเขากำลังจะแต่งงาน แต่งานแต่งมันก็ต้องใช้เงินเพื่อจัดงานเลี้ยง ซึ่งเงินไม่พอที่จะซื้อของในวันงานเลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อนทหารรวมทั้งมิคาเอลก็พยายามที่จะรวบรวมเงิน พร้อมกับเอานาฬิกาของหน่วยเรือดำน้ำที่เขาใส่ประจำ ไปแลกจนได้ครบตามต้องการ ทำให้พิธีงานแต่งผ่านไปได้ด้วยดี
ดูเหมือนว่าทหารทุกคนจะรักกันเหมือนดั่งพี่น้องจริงๆ และหลังจากงานแต่งของพาเวล วันต่อมาทุกคนก็ต้องมาประจำการอยู่ที่เรือดำน้ำ เพื่อออกไปซ้อมรบครั้งใหญ่โดยที่มิคาเอล เขาก็เป็นถึงหัวหน้า คอยควบคุมดูแลเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องยนต์ นายพลอันเดรย์ ควบคุมดูแลกองทัพเรือ ซึ่งการซ้อมรบในครั้งนี้เขาก็เป็นคนดูแลเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เรือของรัสเซียที่พร้อมใช้งานจะมีไม่ถึง 1 ใน 3 ของเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และที่เรือส่วนมากก็ขึ้นสนิมผุพัง
ตัดภาพมาที่ด้านอังกฤษ ผู้บังคับการเดวิด รองนายพลธงเรือดำน้ำ หลังจากที่มีข่าวว่ารัสเซียจะมีการซ้อมรบครั้งใหญ่ ทางอังกฤษก็คอยจับตามองอยู่ตลอด
ตัดภาพมาที่เรือดำน้ำคูร์ส ที่ตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งซ้อมรบพร้อมกับขนอาวุธมาด้วยจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น มิสไซล์ SS 16 มี 24 ลูก ตอร์ปิโด L25 อีก 21 ลูก และก็ตอร์ปิโดฝึก SP อีก 1 ลูก แต่ดูเหมือนว่ากัปตัน จะไม่ค่อยชอบ ตอร์ปิโด SP สักเท่าไหร่ เพราะมันดูอันตรายแต่มันถูก กองทัพจึงเลือกใช้ ซึ่งในเวลาเดียวกันพาเวลที่อยู่ในห้องควบคุมตอร์ปิโด ก็ดูเหมือนจะเป็นกังวลเพราะตอร์ปิโดSP ที่จะใช้ฝึกซ้อม ดูไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไหร่เพราะอุณหภูมิภายในเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ภารกิจของเรือคูร์สก็คือ ทดสอบการยิงมิสไซล์ ทดสอบการยิงตอร์ปิโด และก็กลับไปที่ฐานโดยไม่ให้ถูกตรวจพบ ซึ่งดูแล้วน่าจะใช้เวลาไม่นานมาก แต่หลังจากที่เดินทางไปได้สักพักอุณหภูมิภายในตอร์ปิโดทดสอบก็สูงขึ้นถึง 140 องศา ซึ่งพาเวลก็ได้ติดต่อหากัปตัน เพื่อที่จะขอยิงตอร์ปิโด แต่กัปตันก็ไม่อนุญาตและบอกให้รอไปก่อน แต่หลังจากที่พาเวล ติดต่อกับกัปตันได้เพียงแป๊บเดียว ตอร์ปิโดทดสอบก็เกิดระเบิดขึ้นทันที แรงระเบิดทำให้คนที่อยู่ในห้องตอร์ปิโดรวมทั้งพาเวล กัปตันคนที่อยู่ในส่วนหัวเรือตายทั้งหมด เรือได้ดำดิ่งลงกระแทกพื้น
แต่มิคาเอลยังถือว่าโชคดี เขากับลูกเรือบางส่วน ที่อยู่ในห้องส่วนที่ 7 ของเรือ ยังอยู่รอดปลอดภัยดี มิคาเอลพยามติดต่อห้องควบคุม แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ แน่นอนเพราะส่วนด้านหน้าได้รับความเสียหาย จากแรงระเบิดเป็นอย่างมาก คิดว่าอาจจะไม่มีใครรอดแล้ว ตอนนี้สัญญาณเตือนของเรือ แจ้งว่าให้ห้องตอร์ปิโดมีไฟลุกไหม้ ซึ่งตามคู่มือตอร์ปิโดที่เหลือ จะทนความร้อนได้สูงสุดไม่เกิน 180 องศา ถ้าเกินจากนั้นระเบิดแน่นอน
แต่ตอนนี้หน้าปัด วัดอุณหภูมิที่ห้องตอร์ปิโด มันพุ่งสูงเกิน 180 องศาไปมากแล้ว และหลังจากนั้นแค่แป๊บเดียว ตอร์ปิโดที่เหลือก็เกิดระเบิดขึ้นหลายๆลูกพร้อมกันอย่างรุนแรง แรงระเบิดมันทำให้ส่วนหน้าของเรือแทบหายไปเลย ส่วนท้ายของเรือก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน มิคาเอลได้บอกทุกคนที่เหลือรอด รีบหนีไปอยู่ในห้องส่วนที่ 9 ระหว่างที่ทุกคน กำลังอพยพไปในห้องส่วนที่ 9 ซึ่งเป็นส่วนท้ายสุด
มิคาเอลก็พยายามใช้วิทยุฉุกเฉินติดต่อหา แอนทอล ที่อยู่ในส่วนที่ 5 ของเรือ เนื่องจากส่วนที่ 5 เป็นที่อยู่ของ เตาปฏิกรณ์ ซึ่งตอนนี้มันก็กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ และถ้าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิด อาจจะเสียหายไปถึงตัวเมือง แอนทอลจึงขออยู่จัดการให้มันจบ พร้อมกับบอกลามิคาเอล และฝากข้อความไปบอกเมียเขาด้วยว่าเขารักมาก
หลังจากที่ไม่สามารถช่วยแอนทอลได้ มิคาเอลและคนที่เหลือก็ได้พากันเข้าไปอยู่ในห้องส่วนที่ 9 ซึ่งผนังส่วนท้ายเรือ ก็ถือว่าได้รับความเสียหายน้อยสุด มิคาเอลเรียกสติทุกคนกลับมา พร้อมกับให้ไปหาข้าวของที่พอจะใช้ได้มาเก็บเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นมิคาเอลก็ได้ขึ้นไปยังช่องทางออก เพื่อเคาะส่งสัญญาณให้หน่วยค้นหาได้รู้ ว่ายังมีคนเหลือรอด โดยจะเป็นการเคาะติดๆกัน 4 ครั้ง ทุกๆ 1 ชั่วโมง
ซึ่งตอนนี้ทางอังกฤษ ที่เฝ้าดูการสอดแนมซ้อมรบของรัสเซียอยู่ ก็เหมือนจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ หลังจากที่รับข้อมูลแรงสั่นสะเทือน มันก็ทำให้อังกฤษ มั่นใจแล้วว่า รัสเซียคงเสียเรือดำน้ำไปแล้ว
ทางกองทัพเรือของรัสเซียตอนนี้นายพลอันเดรย์ ก็ได้สั่งให้ส่งโดรนใต้น้ำ ลงไปสำรวจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งจากเศษซากที่โดรนใต้น้ำลงไปเจอ ทุกคนที่เห็นก็ต่างคิดกันว่าสภาพนี้คงไม่มีใครเหลือรอดแน่ ซึ่งในเวลาเดียวกันครอบครัวของเหล่าทหารที่ประจำการอยู่บนเรือคูร์ส ก็เริ่มวิตกกังวลหลังจากที่ได้รู้ข่าวมาว่าไม่สามารถติดต่อเรือคูร์สได้ โดยธัญญ่า ภรรยาของมิคาเอลและลูก พยายามเข้ามาถามข่าวว่ามันเกิดอะไรขึ้น กับเรือที่สามีเธออยู่กันแน่ แต่ทางกองทัพก็ไม่ยอมให้คำตอบอะไรกับเธอ
Kursk ลูกเรือที่เหลือรอด ก็ต้องเผชิญความหนาวเหน็บใต้ทะเลลึก
ออกซิเจนก็ใกล้จะหมดตลับที่ใช้ผลิตออกซิเจนก็ดันอยู่ในส่วนที่ 8 ซึ่งตอนนี้ก็ถูกน้ำท่วมไปหมดแล้ว ความหวังของทุกคนเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ ตัดภาพมาที่โดรนค้นหาใต้ทะเลลึก ตอนนี้ก็ได้สำรวจมาจนถึงส่วนท้ายของเรือทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบสนิท พวกเขาจึงรอให้ครบ 1 ชั่วโมงเพื่อที่จะรอฟังสัญญาณขอความช่วยเหลือแต่พอครบ 1 ชั่วโมงทุกอย่างยังคงดูเงียบ
ทำให้ทุกคนคิดว่าคงไม่มีใครเหลือรอดแล้วและที่ไม่มีเสียงเคาะก็เป็นเพราะว่า มิคาเอลเผลอหลับไป บวกกับที่เขาขายนาฬิกาไปแล้ว ทำให้ไม่รู้เวลาที่แน่ชัด แต่โชคดีที่เพื่อนสะดุ้งตื่นมาดูเวลาพอดีทำให้มาบอกให้มิคาเอลเคาะ ก่อนที่โดรนจะออกจากพื้นที่ ทันเวลาพอดี
ซึ่งหน่วยค้นหาได้ยินเสียงก็ต่างดีใจที่ยังมีคนเหลือรอด นายพลอันเดรย์ได้สั่งให้ติดต่อเรือช่วยเหลือ Grudzinsky ทันที การเคลื่อนไหวของเรือช่วยเหลือ ทำให้ตอนนี้อังกฤษรู้แล้วว่ามีคนเหลือรอดจากเหตุการณ์เรือระเบิด แต่จากการประเมินแล้วรัสเซียไม่มีความพร้อมที่จะช่วยลูกเรือ ที่ติดอยู่ในซากเรือใต้น้ำได้เลย เพราะรัสเซียมีเรือดำน้ำเล็กกู้ภัยแค่ 3 ลำ เรือลำที่ 1 ถูกขายให้กับบริษัทอเมริกัน เพื่อพานักท่องเที่ยวดำไปดูซากเรือไททานิค เรือ A32 ยังคงติดอยู่ที่ทะเลดำ เพราะมีปัญหาเรื่องความมั่นคง และเรือลำสุดท้ายที่น่าจะพอใช้ได้ ก็คือเรือพีช ที่สภาพดูเก่าทรุดโทรมมาก ซึ่งตอนนี้ทางอังกฤษก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ แต่ทางรัสเซียก็ยังไม่ยอมติดต่อหาใคร
ตัดมาทางเรือดำน้ำที่จมอยู่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าออกซิเจนกำลังจะหมด มิคาเอลจึงตัดสินใจที่จะลงไปในห้องส่วนที่ 8 ซึ่งตอนนี้น้ำก็ท่วมอยู่โดยมิคาเอลก็ได้ให้ ซาช่า ลงไปกับเขาด้วย เพื่อช่วยกันค้นหา กล่องแท่งผลิตออกซิเจน ซึ่งการลงไปก็เป็นไปด้วยความทุลักทุเล และทั้งสองก็ต้องช่วยกันค้นหาอีกว่ากล่องเก็บแท่งออกซิเจนมันอยู่ไหน ซึ่งมันก็เสียเวลามากแต่ในที่สุด มิคาเอลก็หาเจอจนได้และเมื่อเจอทั้งสอง ก็ต้องรีบไปที่ห้องส่วนที่ 9 ทันที แต่ประตูที่จะพาขึ้นไปก็ดันติดอีก ทำให้ซาช่าหมดอากาศหายใจไปซะก่อน
มิคาเอลพยามใช้แรงที่เขามีเปิดประตู จนสามารถเปิดได้และได้ลากซาช่าออกมาด้วย แต่มิคาเอลก็มายังไม่ถึงประตูส่วนที่ 9 เขาก็เหมือนจะหมดอากาศหายใจเหมือนกัน แต่โชคดีที่เพื่อนเขาเห็นซะก่อน แล้วก็เปิดประตูทำให้น้ำทะลักเข้ามายังห้องส่วนที่ 9 พร้อมกับร่างของมิคาเอลและซาช่า มิคาเอลรอดมาได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับกล่องเก็บแท่งออกซิเจน ส่วนซาช่าเขาก็ได้สติฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน
ส่วนทางเรือกู้ภัยตอนนี้ก็มาถึงตำแหน่งที่เรือคูร์สจมแล้ว หลังจากที่มาถึงทุกคนก็เร่งรีบเอาเรือดำน้ำเล็กกู้ภัยลงน้ำทันที ซึ่งใช้เวลาไม่นานมาก นักก็ดำลงมาถึงพอมาถึงเหลือกู้ภัย ก็พยายามที่จะเชื่อมต่อกับช่องทางออกของเรือคูร์ส ลูกเรือที่ได้ยินเสียงว่ามีคนกำลังจะมาช่วยก็ต่างดีใจ แต่เรือกู้ภัยไม่สามารถเชื่อมต่อกับเรือคูร์สได้สำเร็จ ถึงจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ พลังงานของเรือกู้ภัยก็ใกล้จะหมด จึงทำให้ต้องตัดสินใจลอยขึ้นไปยังผิวน้ำ เพื่อไปชาร์จแบตเตอรี่ซะก่อน
หลังจากที่ขึ้นมาถึงผิวน้ำ นายพลอันเดรย์ก็ได้สั่งให้เร่งแก้ไขเรือและให้นำเรือ ลงไปช่วยลูกเรือคูร์สอีกรอบ ซึ่งมีอีกหนึ่งปัญหานั้นก็คือ แบตเตอรี่สำรองถูกขายไปพร้อมกับเรือลำแรก ทำให้ต้องรอชาร์จแบตใหม่อีกตั้ง 12 ชั่วโมง ถึงจะสามารถดำลงไปช่วยได้อีกรอบ หลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 12 ชั่วโมงเรือดำน้ำกู้ภัยก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม และพร้อมที่จะลงไปทำภารกิจอีกครั้ง แต่ครั้งที่สองที่ลงมาก็ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับเรือคูร์สได้ จึงต้องลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง
ซึ่งมันก็ทำให้นายพลอันเดรย์ โมโหเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้ ก็ผ่านมานานมากแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถช่วยชีวิตลูกเรือ ที่ติดอยู่ในซากเรือคูร์สขึ้นมาได้ เมื่อรอไม่ไหว จึงได้ติดต่อไปที่อังกฤษ เพื่อขอคุยกับเดวิด ซึ่งทั้งคู่ก็รู้จักเป็นเพื่อนกัน นายพลอันเดรย์ ต้องการที่จะให้เดวิดช่วยแต่ในระหว่างนี้ นายพลอันเดรย์ก็ต้องพยายามคุยกับผู้นำรัสเซีย ให้ยอมรับความช่วยเหลือจากต่างชาติซะก่อน ซึ่งตอนนี้นานาชาติก็ต่างยื่นมือเข้ามาช่วยแต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากทางรัสเซีย
ตอนนี้แบตเตอรี่สำรองก็หมด ทำให้ปั๊มน้ำหยุดทำงาน และน้ำก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้เวลาของพวกเขาเริ่มเหลือน้อยลงทุกที เมื่อเวลาเริ่มเหลือน้อย ก็ทำให้แม็กซิม เริ่มสติหลุด เขาพยายามที่จะไปเปิดช่องทางออก เพื่อที่จะลอยขึ้นไปยังผิวน้ำ แน่นอนว่าความลึกขนาดนั้น ถ้าเขาเปิดช่องทางออก น้ำทะลักเข้ามาทุกคนก็คงไม่รอด มิคาเอลพยายามมาห้าม แต่แม็กซิมก็ไม่ยอมฟัง จนมิคาเอลต้องลงไม่ลงมือ ทำให้แม็กซิมหมดแรงเขาถึงยอม
ตอนนี้นายพลอันเดรย์ พยายามที่จะคุยกับผู้นำของรัสเซีย เพื่อขอให้ต่างชาติไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือนอร์เวย์เข้ามาช่วย แต่ผู้มีอำนาจกลับปฏิเสธ ไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ซึ่งนายพลอันเดรย์ก็ขัดอะไรไม่ได้ ส่วนทางด้านนายพลอันเดรย์ ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะทนไม่ไหว ที่จะปล่อยให้ลูกเรือที่เหลือรอดตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ นายพลอันเดรย์จึงตัดสินใจโทรหาผู้บังคับการเดวิดอีกครั้ง เพื่อยอมรับข้อเสนอที่จะให้อังกฤษ ส่งอุปกรณ์เข้ามาช่วย ซึ่งเดวิดกับทีมช่วยเหลือจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง
แต่ก่อนที่เดวิดกับทีมจะมาถึง นายพลอันเดรย์ก็ถูกโยกย้าย และไม่ให้เข้ามายุ่งกับการกู้ภัยในครั้งนี้ ทำให้อังกฤษที่จะส่งอุปกรณ์เข้ามาช่วยเหลือ พอมาถึงจึงยังไม่ได้รับอนุญาตว่าให้เข้ามาอีกอย่างพื้นที่ ซึ่งในเวลาเดียวกัน ที่เรือคูร์สตอนนี้น้ำในห้องก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มิคาเอลก็เริ่มหมดหวัง ที่เขาเสียใจที่สุดก็คือ ลูกของเขายังเด็กมาก กลัวว่าจะจำเรื่องราวของพ่อของเขาไม่ได้ และที่สำคัญลูกอีกคนที่อยู่ในท้อง เขาคงไม่มีโอกาสจะได้เห็น สิ่งที่มิคาเอลทำได้ในตอนนี้ก็คือ เขียนข้อความในใจที่อยากจะบอกภรรยาและลูกของเขาเอาไว้ เผื่อว่ามีใครสักคนลงมาเจอ
ตัดภาพมาที่ผิวน้ำ ตอนนี้นายพลของทางรัสเซีย ก็ได้เข้ามาคุยกับผู้บังคับการเดวิด ซึ่งเดวิดก็ต้องการรายละเอียดพื้นที่ ที่จะลงไปช่วย แต่ดูเหมือนว่านายพลของทางรัสเซีย จะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ยังหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้ทีมช่วยเหลือของอังกฤษรอกันไปก่อน ทั้งๆที่อังกฤษมีทั้งอุปกรณ์และนักประดาน้ำมืออาชีพที่จะช่วยลูกเรือขึ้นมาได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่รัสเซียกลับไม่ยอมให้ลงไปช่วย เดวิดรู้ดีว่าที่รัสเซียไม่ยอมให้อังกฤษลงไปช่วยก็เป็นเพราะว่าพยายามจะปกป้องความลับทางทหาร และก็หลีกเลี่ยงความอับอายที่ตัวเองต้องขอให้คนอื่นช่วย แต่เดวิดก็ยืนยันที่จะรอ
รัสเซียพยายามส่งเรือลงไปอีกครั้ง หน่วยกู้ชีพของรัสเซียพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่เนื่องจากอุปกรณ์ช่วยเหลือที่ไม่พร้อม จึงทำให้พวกเขาทำอะไรได้ไม่มาก ลงไปกี่ครั้งก็ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเรือคูร์สได้ และแทนที่รัสเซียจะให้อังกฤษลงไปช่วยทันที แต่กลับให้รอจนถึงเช้าค่อยให้ลงไปซะอย่างนั้น
ตอนนี้ลูกเรือคูร์สที่รอดชีวิตก็ยังไม่หมดหวังกับซะทีเดียว พวกเขาจะคงพูดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน พยายามหาเรื่องตลกมาคุยกันเพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลาย ลีโอที่กำลังหนาวสั่นพยายามที่จะเปลี่ยนแท่งผลิตออกซิเจนแต่ก็ไม่ทันได้ระวัง ลีโอพลาดทำแท้งผลิตออกซิเจนหล่นลงน้ำ ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่สามารถโดนน้ำได้ เมื่อโดนน้ำจะเกิดประกายไฟขึ้นทันที เมื่อเกิดประกายไฟลุกไหม้ออกซิเจนที่อยู่ในห้องก็จะหมดลง มิคาเอลก็ได้แต่บอกกับทุกคนว่า เป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับทุกคน
ตัดภาพมาที่ผิวน้ำอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเช้าหน่วยช่วยเหลือจากอังกฤษได้รับอนุญาตให้ลงไปค้นหาผู้รอดชีวิตจากเรือคูร์สได้ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน นักประดาน้ำก็ลงมาถึงเรือคูร์ส และได้เช็กวาล์วแรงดันที่ทางออก ว่ายังมีแรงดูดอยู่ไหม แต่สิ่งที่ได้ก็คือภายในไม่มีแรงดูดอยู่แล้ว นั่นหมายความว่า ด้านในน้ำก็คงท่วมเต็มไปหมดแล้ว เมื่อเป็นแบบนั้นนักประดาน้ำจึงได้เปิดประตูเข้าไปดูด้านใน และเห็นว่าภายในเต็มไปด้วยศพของลูกเรือ
หลังจากที่ไม่พบผู้รอดชีวิตก็ได้มีการจัดงานศพให้กับเหล่าทหารเรือที่เสียชีวิต มิชาที่ยังเด็กเขาก็ได้เดินเข้ามาดูรูปของพ่อของเขา ต่อจากนี้ไปเขาก็คงจะไม่ได้เจอกับพ่อของเขาอีกแล้ว เหล่านายพลได้มาเข้าร่วมพิธีศพด้วย และก่อนที่จะกลับก็ได้จับมือกับลูกๆของเหล่าทหารที่เสียชีวิตไป ยกเว้นมิชาลูกของมิคาเอล ที่เขาไม่ยอมจับมือกับนายพลคนนั้น ที่ไม่ยอมช่วยชีวิตของพ่อของเขา ซึ่งเด็กคนอื่นๆก็เริ่มทำตาม ทำให้นายพลเสียหน้าไม่น้อย หลังจากที่ธัญญ่ากับมิชาออกจากโบสถ์ ก็มีคนตามหามาทั้งสอง และได้เอานาฬิกาที่มิคาเอลเคยเอาไปขายมาคืน และก็มอบให้กับมิชาเก็บไว้ ลูกเรือคูร์สได้ทิ้งทายาทเอาไว้ เป็นเด็ก 71 คน THE END
สามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนัง-ซีรีย์ฝรั่ง ได้ที่:
เรียบเรียง BOMEBAMB